วันเสาร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2557

บทที่ 2 นาฬิกา สีเลือด

 วันอังคาร ที่ 5 มีนาคม พุธศักราช 2545 เหตุการ: หลังจากการรู้ความจริง ของนักเรียน ห้อง2/1 การโรงแรม
   
   เสียงนกร้องยามเช้า เสียงนาฟิกาปลุกดังเตือน เด็กหนุ่ม ผู้ที่เต็มไปด้วย ความเบื่อหน่าย ผู้ที่เก็บกด ความ ทุกข์ ทรมานในจิตใจ มาร์ค ซักเกอร์เบิก นักเรียนชาย ที่เรียนไม่เก่ง ซื่อ จน บื้อ  แต่หน้าตาดี สาวๆที่แอบชอบ ก็มีอยู่บ้าง นิสัยดี ติดการ์ตูน ติดเกมส์ เมื่อช่วงวัยเด็ก ได้รับการฝึก ดาบ จาก คุณปู่ แต่เมื่อปู่ตายไป การฝึกจึงถูกชงักลง  แต่ ดาบของปู่ กลับตกเป็นของ มาร์ค
 " มาร์ค ตื่นได้แล้ว "
 เสียง ที่ฟังแล้ว นุ่มนวล นี้ คือใครกัน มาร์ค ค่อยๆลืมตาขึ้น 
 " อ้าว?  พี่ ครับ เช้าแล้วเหรอ?"
 มาร์ค ที่รู้สึกว่า มีบางกดทับ ร่างกายอยู่นั้น ก็ตกใจ ตื่นอย่างรวดเร็ว  
 " พี่ครับ  !!?"
 พี่สาวของมาร์ค ยูริ ซักเกอร์เบิก นั่งทับ มาร์คอยู่ เธอ ค่อยๆเอามือลูบไปบริเวณ ต้นขาของเค้า มาร์ค ตอนนั้น นอนเกร็ง และพยายาม รวบรวมสติ ที่จะห้าม พี่ แต่ เธอก็ค่อยๆ ก้มลง ข้าง  หู มาร์ค และกระซิบเบาๆ 
 "  สีหน้า นายตอนนี้ ทำให้พี่ แฉะ ไปหมดแล้วน้ะ "
 " พี่ครับ ผะ…ผมพร้อมแล้วครับ"
 ทันใดนั้นพี่สาว ก็หัวเราะขึ้น ด้วยความตลก 
 " ฉันล้อนายเล่นแค่นี้ถึงกับคิดเอาจริงเลยเหรอ ไอ้น้องหื่นเอ้ย ฮ่ะๆ"
 มาร์ค ก็ถอนหายใจออก ด้วยความหายอึดอัด และหงุดหงิดที่พี่สาว แกล้ง มาร์ค เหลือบไปมอง นาฬิกาบนหัวเตียง 
 "  หา!! สายป่านนี้แล้วเหรอเนี่ย ทำไมพี่ไม่ปลุกผมล่ะครับ ? "
 " ฉันปลุกนายจนนับครั้งไม่ได้แล้วล่ะ "
มาร์ครีบลุกขึ้นแล้ว วิ่งไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและมุ่งออกไปโรงเรียนโดยไม่กินข้าว ระหว่างที่วิ่งอยู่นั้น ก็นึกขึ้นได้ ว่า "หากเราไปโรงเรียนตอนนี้  ก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้น และเราไม่รู้ด้วยว่าตอนนี้เริ่มมีการสังหารใครไปแล้วบ้าง " หากมาร์คยังคิดที่จะเดินหน้ามุ่งตรง ไปยังโรงเรียนต่อ  ความหายนะ อาจจะมาเยือนก็เป็นได้  แต่หากเค้า หยุดอยู่ที่ทางถนน ที่ห่างจากโรงเรียนไปอีกแค่ 1 กิโลเมตรครึ่ง และเดินกลับมุ่งหน้าไปที่ ริมแม่น้ำที่ไหลผ่านตัดตัวเมือง และน่ังชมทิวทัศของตัวเมืองอันวุ่นวาย มาร์ค ก็อาจจะรอดจากหายนะก็เป็นไปได้  แต่หากมองกลับไปตามทางที่ตนวิ่งมา  สิ่งที่เห็นเพียงอย่างเดียวคือ ความเป็นห่วง พี่ พ่อ แม่  ใครจะอยากให้ผู้ที่เรารู้จักตั้งแต่เกิดมาเสี่ยงชีวิต เข้าไปอยู่ในสงครามครั้งนี้กันล่ะ มาร์คจึงตัดสินใจเดินหน้าต่อ โดยไม่รังเรใจว่า หนทางข้างหน้านั้น โรงเรียนแห่งนั้น เพื่อนๆเหล่านั้น คือ หายนะ ชั้นดีเลยดีเดียว
   มาร์คที่ค่อยเดินเข้ารั้วโรงเรียน เดินไปอย่างช้าๆ เดินโยไร้จุดหมาย และมุ่งสู่ห้องเรียนของตน ที่เป็นดั่งรานประหาน อันเต็มไปด้วย เหล่า ฆาตกร ที่ยังไม่เผยธาตุแท้ของตนออกมาแต่การที่กล่าวหาคนอื่นโดยไม่มองตนนั้นเป็นไปไม่ได้ " ตัวเราอาจเป็น ฆาตกรก็ได้ "  มาร์คที่คิดเรื่องนั้นได้จับที่กระเป๋าของตน ในกระเป๋าใบนี้ มีสิ่งที่จะเป็นตัวตัดสินชีวิต ของนักเรียนคนใดคนนึงในห้องนี้ เมื่อเปิดประตูห้องเรียนเข้าไป สิ่งที่เห็นคือ หัวหน้าห้อง กับ คุโระ ที่ยืนคุยกันอยู่แต่เมื่อมาร์คเปิดประตูมา ทั้งสองก็หันชำเลืองมอง ในห้องมีกันแค่สามคน แต่เมื่อ มาร์ค เข้ามานั่งได้ไม่นาน คุโระก็เดินออกจากห้องไป อย่างเย็น ชา แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนจากนั้น หัวหน้าห้องก็เดินมาที่โต็ะของ มาร์ค
 " มาร์ค เรา ของจับมือนายหน่อยได้ไหม "
 มาร์คที่กำลังงงว่าทำไม จู่ๆ หัวหน้าจึงของจับมือแต่มาร์คก็ไม่ได้สงสัยอะไรและยื่นมือไป
 " ปึง "
เสียงเปิดประตูอย่างแรงของ มาณี ที่ทำให้มาร์คชักมือกลับด้วยความตกใจ มือทั้งสองยังไม่ได้สัมผัสกันแม้แต่นิดเดียว มาณีเดินเข้ามาในห้องและมองหัวหน้าห้องด้วยสายตาแห่งความเกลียดชังและยิ้มให้แก่มาร์ค เธอเดินไปนั่งได้ซักพักหัวหน้าก็พูดขึ้น
 " แย่หน่อยน้ะ เดี๋ยวคนในห้องนี้ก็จะอยู่ในจำนวนที่เหลือไม่มากแล้ว ฉนั้นเราควรจับกลุ่มกันไว้น้ะ "
เธอยิ้มที่มุมปาก มาร์คก็ยิ้มตอบ
 วันนี้ทุกคนที่อยู่ในห้อง มีกันแค่ สามคน โดยปราศจากการพูดคุย มาร์คได้มองไปนอกหน้าต่าง เค้าเห็นบางสิ่ง มันตัวขาว ตาโต รูปร่างคล้ายมนุษย์ ในตาแดงกล่ำ ลำตัวผอมซีด มันจ้องมาทางมาร์ค
 ตอนนั้นมาร์คที่ช็อกกับสิ่งที่อยู่นอกหน้าต่างนั่น ดันไปสบตากับมัน มันค่อยๆแสยะยิ้ม และมองมาทางมาร์ค อย่างกับมันพร้อมที่จะกระโจนเข้าฆ่าเค้า สิ่งนั้นจ้องมาร์คอยู่นาน โดยอาจารย์ที่เข้ามาสอนนั้น กลับไม่เห็นสิ่งที่อยู่นอกหน้าต่าง เมื่อเสียงออดพักกลางวันดังขึ้น มาร์ครีบหยิบกระเป๋าและวิ่งออกจาห้องไปอย่างรวดเร็ว " สิ่งนั้นมันอะไรกัน บ้าจริงเลย!! มันคืออะไรกันเนี่ย " มาร์คคิดขณะที่วิ่ง ทางที่เค้ามุ่งออกไปมันคือ ทางออกของอาคารเรียน เค้าไม่สนใจแม้แต่ครูฝ่ายปกตรองที่ ห้ามเค้า
  มาร์ควิ่งไปเลื่อยๆ  และไม่หันกลับมามองโรงเรียน ในนั้น แม้แต่อาจารย์ก็ช่วยไม่ได้ ภารโรง ก็ช่วยไม่ได้ ไม่มีใคร ในโรงเรียน ช่วยตัวเราได้ นอกจากตัวเรา สิ่งที่คิดขึ้นมาในหัว ณ ตอนนั้น คือ การเตรียมหาที่ตั้งรับ เพราะ สิ่งที่มาร์คกำลังหนี  มันตามตัวเค้ามา มันวิ่ง ราวกับผู้ที่กระหายเนื้อ ราวกับสุนัขป่าไล่จับ กระต่าย ที่ไม่มีทางสู้ มันวิ่งเร็วมาก จวนจะจับตัว เค้าได้ จู่ๆหัวใจก็เต้นช้าลง ทุกสิ่งรอบๆกลับ เคลื่อนที่ช้าขึ้น มาร์คที่ไม่อาจที่จะ อยากสนใจในสิ่งที่เกิดอีกต่อไป ได้วิ่งต่อไป โดยวิ่งไปทางสนามเด็กเล่น เมื่อมาถึง มาร์ค ล้มทั้งยืนที่สนามเด็กเล่น หัวใจราวกับจะหยุดเต้น การวิ่งระยะ 50 เมตร โดยทำให้หัวตนเต้นช้าลงนั้น มันไม่ใช่เรื่องดีแน่ หากทำสิ่งนั้นซ้ำอีกรอบ จะเกิดอาการหัวใจล้มเหลว ทันที ฉนั้น จึงไม่สามรถที่จะ ชะลอเวลาได้อีก เป็นครั้งที่สอง ในระยะเวลาต่อเนื่อง มาร์คที่นอนจมอยู่กับที่ ขยับแค่ปลายนิ้วแทบจะเป็นไปไม่ได้  เจ้าปีศาจ นั่นมันค่อยๆเดินเข้ามา และมันได้อ้าปากของมันอย่างกว้างเพื่อที่จะกิน มาร์ค เข้าไปทั้งตัว
 " หยุดก่อน "
เสียงคำสั่งของเด็กสาว น้ำเสียงออกจะแข็งกล้าวไปนิด แต่แฝงไปด้วยความเป็นห่วง เซอเรีย ไซร่า เธอคือเพื่อนสมัยเด็กของมาร์ค เธออยู่ห้องเดียวกับมาร์คแต่มาร์คกลับไม่สนใจเธอ และเลือก อนิเมะ และ เกมส์ มากกว่าผู้หญิงเสียอีก เธอค่อยๆเดินมาที่มาร์คและมอบนาฬิกา ที่มาร์ค เห็นแล้วถึงกับ แทบบ้า นาฬิกา เรือนนี้ มันเป็น ของขวัญ ที่มาร์คมอบให้พี่สาว ในวันเกิดเมื่อสามวันที่แล้ว มาร์คที่เจ็บแค้นในใจแต่กลับทำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว  นาฬิกาที่มีคาบเลือดของพี่ติดอยู่ มันหมายความว่าไงกัน?
   
    ในชีวิตเรามีทางเลือกอยู่เสมอ เว้นแต่เราจะเลือกแบบไหน หากมาร์คไม่ไปที่โรงเรียน เค้าคงตายไปแล้ว แต่ใครกันที่ลงมือสังหารผู้ที่ไม่เกี่ยงข้อง แล้วทำไม อาจารย์ ถึงไม่ทำอะไรเลย ไหนบอกว่าหากลากผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้ามายุ่ง คนนั้นยะถูกสารไม่ใช่เหรอ หรือมันมีอะไรมากกว่านั้น 
 มาร์คค่อยๆลืมตาตื่นขึ้น ในที่ๆแปลกตา มันไม่ใช่บ้านเค้า มันไม่ใช่ที่ๆเรารู้จัก " ที่นี่มันบ้านใครกัน กรอบรูป? ผู้หญิงในรูปคนนั้นใครกัน หน้าตาคุ้นๆ เพื่อนของแม่เหรอ ? "
 ระหว่างที่มาร์คคิดและตั้งคำถามให้ตนเองอยู่นั้น เซอเรีย ก็เดินเข้ามา เธอสีหน้าเย็นชา และไม่ได้พูดอะไร
 " เธอฆ่าพี่ของฉันเหรอ เซอเรีย ทำไมถึงทำอย่างงั้นล่ะ. "
 " ฉันอยากบอกให้นายรู้เอาไว้น้ะ มาร์ค ฉันไม่ได้ฆ่าพี่สาวนาย ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ว่า นายควรถามตัวเองน้ะว่าก่อนออกจากบ้าน นายได้บอกลาพี่สาว หรือแตะต้องตัวเธอรึปล่าว แล้วนายไส่ลองดูตัวนายเลยเหรอ นายนั่นแหละที่…เปล่า… ฉันเป็นห่วงนายน้ะมาร์ค นายอย่าได้ทำร้ายใครอีกเลย "
 " ฉันไม่เข้าใจที่เธอพูดเลย เซอเรีย แล้วไอ้ตัวเมื่อตอนนั้น มันคืออะไร? "
 " มันคือปีศาจจากนรก war lock มันคอยเฝ้าปกป้องนาย แต่ตอนที่นายวิ่งหนี มันนึกว่านายเป็นศัตรู มันเลยจะฆ่านายน่ะ "
 เซอเรียพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนกับมันเป็นเรื่องปกติ แต่การ ฆ่า มันไม่ใช่เรื่องปกติ มาร์คเกือบถูกเจ้าปีศาจนั่นกินเข้าไป โดยไม่สามารถต่อสู้ขัดขืนได้ 
 " แล้วพลังของเธอคือ เรียกปีศาจ สิน้ะ "
 " ถูกต้อง ส่วนพลังของนาย คือ การชะลอเวลาสิน้ะ "
 " ฉันก็ไม่แน่ใจหรอก ว่านั่นคือพลังของตัวฉัน "
เซอเรีย ผู้หญิงคนนี้คือลูกสาว ของ สส. ในจังหวัดนี้ ฉนั้นหากเธอทำอะไรไปก็แล้วแต่ ที่มันไม่ดี สิ่งนั้นจะถูกเก็บไปทันที แต่เธอก็เข็มแข็งพอที่จะยอมรับความผิดที่เธอกระทำลงไป เธอมีนิสัยค่อนข้างเยือกเย็น เพราะในครอบครับเธอ แม่คือคนที่เธอกลัวและไม่กล้าแม้แต่จะสบตา เธอถูกความกดดัน จากความอารมณ์ร้อนของแม่เป็นประจำ เธอไม่แม้แต่จะพูดกับแม่เลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่พ่อของเธอกลับเป็นคนที่ใจดีและเยือกเย็น พ่อของเธอมีอุดมการอันแรงกล้าในการเป็น สส. ที่ขึ้นตรงต่อนโยบายของพรรค และเป็นพ่อที่ดี 
  " เอาล่ะ วันนี้นายพักที่นี่ก่อนล้ะกัน วันนี้ไม่มีใครอยู่บ้าน นอกจาก คนใช้ มีอะไรก็เรียกคนใช้ล้ะกัน "
เมื่อเซอเรีย ปิดประตูและเดินจากไป  มาร์ค ที่ไม่อยากจะไว้ใจใคร ในตอนนี้ จึงพยายามที่จะลุกออกจากเตียง แต่ ปัญหาไม่ใช่การลุกขึ้นแต่อย่างใด แต่สิ่งที่ ล็อกขา กับแขน มันคือ มือของปีศาจที่จับมือ และขาของเค้าไว้ อย่างแน่น  ยิ่งเค้าพยายามขยับมากเท่าไหร่ มันยิ่งบีบ จนเจ็บมากเท่านั้น มาร์ค ที่เริ่มละความพยายาม จึงนอนลงบนเตียงและนึก พยายามนึกถึงเหตุการณ์
เมื่อ เค้าหลับตาลง ความรู้สึกเจ็บตรงอกก็เริ่มขึ้น และมีหลายๆอย่างที่ทำให้เค้ารู้สึกแย่ ความรู้สึกผิด ความรู้สึกเศร้า มันผสมปนเปไปหมด มาร์คเริ่มสับสนกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้ มาร์คเห็นภาพพี่สาว   เธอ ยืนอยู่อีกฝั่งนึงของแม่น้ำ แม่น้ำที่ไม่ไหลเป็นสายยาวไปจนสุดขอบฟ้า เธอยืนยิ้มให้เค้า ดละพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่มันไกลมาก เค้าแทบจะไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูด เมื่อเธอพูดจบ ความมืดก็ค่อยๆกลืนกินตัวมาร์คลงไปในเหวลึกที่หาก้นหลุมไม่ได้
       เวลา 22:53 วันที่ 5 มีนาคม 
  บันทึก ของ เซอเรีย ไซร่า
  วันนี้เป็นวันที่ความจริงแล้ว ฉันต้องไปโรงเรียน แต่ว่า ทำไมก็ไม่รู้ ฉันรู้สึกถึงอะไรบอย่าง ที่น่าสยดสยอง มันคืออะไรกัน ความรู้สึกที่แผ่ออกมาจากตัวของเค้า เหมือนกับ ตัวฉัน กำลังช่วยเหลือ ฆาตกร ที่พึ่งฆ่าคนมา แล้วทำเป็นตัวเอง ไม่รู้สึกอะไรเลย ฉันอยากจะเกลียดเค้า แต่ทำไมกัน ฉันเกลียดเค้าไม่ลงเลย มีหนำซ้ำ ฉันกลับรู้สึกสงสารเค้า ที่เริ่มมีอาการทางจิตอย่างงั้น ขอจบบันทึกลงแต่เพียงเท่านี้
 เมื่อเซอเรีย อ่านบันทึกของตนจบ เธอก็ลุกขึ้นจากเตียงที่เธอนอนอ่าน ไดอารี่ เธอเดินไปที่ประตูห้อง และเปิดแง้มดู บริเวณทางเดินหน้าห้องของเธอ เธอมองไปสุดทางเดิน  ตรงนั้นคือห้องที่เธอพามาร์คไปพักไว้ ในบ้านนั้นเงียบมาก แต่พอเซอเรียเดินออกไป และเดินเข้าไปไกล้ห้องที่ มาร์คพักอยู่นั้น เธอก็ได้ยินเสียง เสียงที่ทำให้เธอรู้สึกสยอง มันเป็นเสียงพูด ของผู้ที่เธอเคยชอบ เสียงนั้น มันพูดเกี่ยวกับการฆ่าคน และพูดถึงความรู้สึกที่เวลาถูกมีดบาดมันทำให้ตัวเค้ารู้สึกดี " มาร์ค " ความจริงของ คนๆนี้มันคืออะไรกัน เสียงฝีเท้าภายในห้องของมาร์ค มุ่งตรงมาทางเธอ มาร์คพังประตูออกมา พร้อมกับดาบ ของปู่ มาร์ค ฟันลงไปใส่ เซอเรีย แต่ ปีศาจ ก็โผล่มาจากทุกที่ในบ้าน ปีศาจเหล่านี้ พยายามปกป้องเซอเรีย มาร์ค ที่ตอนนี้กลายเป็นผู้เสียสติไป
ได้ฟาดฟันเหล่าปีศาจอย่างรวดร็ว ราวกับว่า มันเป็นเรื่องง่ายๆ ที่ฆ่าปีศาจเหล่านี้  เซอเรียวิ่งออกมานอกบ้าน เพื่อที่จะหนี คนที่พยายามจะฆ่าเธอ ปีศาจทุกตัวกรูกันเข้าไป เพื่อพยายามฆ่า มาร์ค แต่ความเร็วอันไม่น่าเชื่อนั้น ทำให้ปีศาจที่เยอะแค่ไหนก็ พ่ายแพ้ มาร์คที่ฟาดฟัน ปีศาจ กลับสะดุดซากปีศาจ และล้มลง จึงเสียท่าให้กับปีศาจและถูกมันลุม เซอเรีย ที่วิ่งไปตามถนน และไม่หันกลับมามองที่บ้านของเธอ แม้จะได้ยินเสียง ของมาร์ค ที่ร้องด้วยความแค้น
    

วันศุกร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2557

บทที่ 4 สังหารหมู่

 สังหารหมู่
วันศุกร์ ที่ 8 มีนาคม เหตุการณ์ : หลังจากการต่อสู้กันแล้ว 4 วัน จำนวนผู้เสียชีวิตคือ 50 คน สาหัสนับร้อย
  นักสืบคดี ของกรมตำรวจประจำจังหวัดผู้หนึ่ง เค้าคนนี้ได้รับคดีร่วมกับ กรมการคดีพิเศษแห่งชาติ เพื่อสืบเกี่ยวกับเหตุการนองเลือดที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัด เค้ากับคู่หูตำรวจสาว ได้เช็คตามบ้านของเยาวชนผู้ก่อเหตุทั้งหมด โดยถามทีละบ้าน แต่ปรากฎว่าในบ้านนั้นไม่มีใครอยู่เลย บ้านแล้วบ้านเล่า เมื่อทั้งสองมาถึงบ้านของ นางสาว เนโร เจอริโก้ เมื่อพวกเค้าเดินไปที่หน้าบ้าน และกดกริ่งหน้าประตูบ้าน กดครั้งแรกไม่มีใครตอบรับ เมื่อกดอีกครั้งก็เงียบสนิท นักสืบชาย จึงหยิบปืนขึ้น และบอกให้คู่หูของเค้ารออยู่ข้างนอก 
     เมื่อนักสืบชายเดินเข้าไปในบ้านเพื่อจะเปิดประตู และเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตู ลูกบิดก็หลุดออกมา เค้าจึงไม่ลีรออีกต่อไปจึงใส่กำลังเต็มแรงพังประตูเข้าไป แต่ในบ้านนั้นสิ่งที่เค้าเห็นนั้น มันชวนให้รู้สึกสะอิดสะเอียนยิ่งนัก ซากของคน แหลกเป็นเสี่ยงๆไปทั่งบ้าน ทั้งพื้น เพดาน และผนัง เมื่อเค้าเดินเข้าไปข้างในบ้าน ก็พบกับ รูบนผนังด้านหลังบ้านขนาดใหญ่ นักสืบหนุ่มที่เลือดร้อน ไม่ชะล่าใจที่จะตามลอยไปพร้อมกับคู่หูของเค้า และแจ้งให้ตำรวจในพื้นที่ทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านหลังนี้  เมื่อตำรวจมาถึง นักสืบหนุ่มก็ได้บอกให้ตำรวจตามตน ไปตามทาง ที่ฆาตกรได้เดินไป ระหว่างเดินทางด้วยรถตำรวจอยู่นั้น วิทยุของตำรวจก็ได้รับแจ้งเกี่ยวกับเหตุฆาตกรรม ที่เกิดขึ้นตามทาง ที่พวกเค้ากำลัง ตามลอย ของฆาตกรไปเมื่อถึงจุดเกิดเหตุตามทางพวกเค้าก็ตรวจสอบที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อตรวจสอบที่เกิดเหตุได้ไม่นานนักก็ มีรายงานมา ถึงเหตุการปล้นธนาคาร ในรแวกนั้น นักสืบหนุ่มจึงรีบเดินทางพร้อมกับตำรวจไปที่ธนาคารแห่งนั้น และ เมื่อพวกเค้ามาถึง พร้อมกับตำรวจนับสิบที่ล้อม ธนาคารเอาไว้ เนื่องจาก ผู้ก่อเหตุยังคงอยู่ในธนาคาร ตำรวจที่กำลังวางแผนที่จะบุกเข้าไปในธนาคารอยู่นั้น ก็โดนระเบิด ที่คนร้ายโยนออกมา จากธนาคาร ทำให้รถตำรวจเสียหายจำนวนมาก และ ระเบิดยังถูกปาออกมาเรื่อยๆ ตำรวจที่ไม่กล้าแม้จะยิงปืนเข้าไปซักนัด เพราะในนั้น มีตัวประกันอยู่จำนวนมาก ทำให้ต้องรอผู้เจรจามาถึง 
    ในธนาคารแห่งนี้มีผู้ร้ายอยู่แค่สองคน เป็นผู้หญิงและผู้ชาย เมื่อผู้เจรจาเดินทางมาถึง ก็เริ่มพูดใส่ลำโพงถามว่า "ต้องการอะไร พวกคุณไม่ต้องทำอย่างงี้ก็ได้ ปล่อยตัวประกันมาเถอะ โทษหนักจะได้เบา และเราจะช่วยแก้ปัญหาให้คุณเอง"  แต่เมื่อพูดจบ ก็ไม่มีคำตอบจากผู้ก่อเหตุที่อยู่ในธนาคาร นักสืบหนุ่มที่เห็นว่า ผู้ก่อเหตุ หญิงสาว ที่อยู่ขัางในนั้นอาจจะเป็น นางสาว เนโร เพราะ มองจากข้างนอกนั้น จะเห็นเงาที่รูปร่างคล้ายคลึงกับ ที่ระบุในใบชีวะประวัติ จึงขอให้ตนพูดกับผู้ก่อเหตุ และเมื่อนักสืบหนุ่มได้ไมค์ จึงเริ่มถาม "หญิงสาวที่อยู่ข้างในหน่ะใช่ เนโร รึปล่าว ทำไมเธอถึงสังหารครอบครัวเธอล่ะ?"  เมื่อถามไปกระจกในธนาคารก็แตกออก พื้นปูนร้าวออกมาจากในธนาคาร จนออกมาถึงข้างนอก รถต่างๆกับผู้คนที่อยู่ในรัศมีต่างระเบิดเฉยๆ ทุกคนจึงพากันวิ่งหนีออกมาจากรัศมี 1 กิโลเมตร จากหน้าธนาคารและเมื่อกระจกธนาคารที่ดำมืดแตกหมด จึงทำให้เห็นตัวประกันร่างแหลกระเอียดจนไม่หลงเหลือรูปคน ตำรวจจึงสั่งระดมยิงเข้าไป วินาทีนั้น เสียงปืนทุกชนิดของตำรวจทั้งจังหวัดยิงเข้าไปในธนาคาร เสียงดังจนพูดกันไม่ได้ยิน ฝุ่นจากควันปืนบดบังทัศนียภาพ ทำให้มองไม่เห็นว่า ผู้ก่อเหตุตายรึยัง และกระสุนก็หมดจึงหยุดยิง และรอให้ควันจางลง เมื่อควันเริ่มจางลง กระสุนที่ยิงเข้าไปก็พุ่งกลับมาถูกผู้คนในระแวกนั้น จนตำรวจและผู้คน บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก เมื่อตำรวจทั้งจังหวัดตายกันเกือบหมด สารวัตจึงแจ้งให้ทหารในพื้นที่ทราบและนำกำลังเข้ามา เพื่อสังหารผู้ก่อเหตุ ที่มีพลังเหนือมนุษย์ นักสืบหนุ่มที่กระสุนถากขาขวาไป วิ่งไปหยิบเสื้อเกราะ และหยิบปืน วิ่งเข้าไป โดยไม่สนใจคำห้ามปรามของผู้คน เมื่อนักสืบหนุ่งวิ่งเข้ามาถึงอย่างรวด ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้า คือเด็กหนุ่มผู้ใช้พลัง เปลี่ยนสิ่งของให้กลายเป็นระเบิด นักสืบหนุ่มได้ชกเข้าไปที่หน้าของเด็กหนุ่มคนนั้นจนล้มลงไป เนโร ที่เป็นผู้ใช้พลังจิต ที่ยืนอยู้ไกล้ๆ ก็ถูกนักสืบหนุ่มเอาปืนจ่อหน้าไว้ และเมื่อเหตุการณ์ในธนาคารกำลังตรึงเครียด ทหารที่พึ่งมาถึงก็กรูกันเข้ามาจะจับตัว เนโร แต่เมื่อนักสืบหนุ่มลดปืนลงจากหน้า เนโร ทำใหัทหารที่อยู่รอบๆถูกระเบิดหัวด้วยพลังจิตที่รุนแรง นักสืบหนุ่ม ที่ทิ้งระยะห่างและกระหน่ำยิงใส่เนโร แต่ก็ไม่ไดัผล ทหารที่อยู่ไกล้ๆก็กระโดดเข้าไป ล็อคตัว เนโร และเอาถุงกระสอบครอบหัว ของ เนโร ไว้เพื่อไม่ให้เห็นเป้าหมายที่จะทำลาย เด็กหนุ่มที่ถูกชกล้มไปก็ได้สติ และเห็น เนโร ถูกซ้อมจนสลบไป จึงหยิบอิฐที่อยู่ไกล้มือ ขว้างเข้าใส่ทหาร อิฐก้อนนั้นได้แปลงสภาพกลายเป็นระเบิด ทำให้ทหารกลุ่มที่ถูกปาใส่ กระเด็นไปคนละทิศละทาง เด็กหนุ่มที่พยายามจะลุกขึ้น ก็ถูกทหารอีกชุดกระหน่ำยิงใส่ จนร่างพรุนไปหมด เมื่อเด็กหนุ่มตาย เนโร ถูกจับตัวไป ทุกอย่างก็สงบลง นักสืบหนุ่ม ก็ได้ตามขึ้นรถขนนักโทษที่พา เนโร ไปด้วยเพื่อจะไปสอบปากคำต่อไป ผู้เสียชีวิตรวมในพื้นที่ รอบๆ และในธนาคาร รวม 150 คน และ สาหัส 132 คน บาดเจ็บ 32 คน
        สังหารหมู่ จบ 

บทที่ 3 แตกหัก

 วันพุธที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2545 เหตุการณ์ : ทุกคนตัดสินใจมาโรงเรียน โดยไม่ได้นัดหมาย
  วันนี้วันพุธ อากาศมัวหมองท้องฟ้ามีเมฆมากเหมือนฝนกำลังจะตก วันนี้ทุกคนต่างมาโรงเรียนกัน เกือบครบ จะมีบางคน ที่ถ้าหากไม่ตายก็พึ่งฆ่าใครตาย เท่านั้นที่ไม่มา บ้างก็รวมกลุ่มกัน บ้างก็ยังคงไม่ไว้ใจใคร เมื่อทุกคนเดินกันมาได้ซักพัก ก็เริ่มมีเสียงเอะอะ โวยวายขึ้น นักเรียนที่ไม่รู้เรื่องอะไรก็มองไปเดินไป ผู้ที่ทะเลาะกันอยู่นั้นไม่ใช่ใครที่ไหน นั่นคือ นักเรียน ปวช การโรงแรม 1/1 นั่นเอง ผู้ที่ทเลาะกันนั้นคือกลุ่มเพื่อนสนิท ที่เริ่มแตกหักกัน ความรุนแรงเริ่มขึ้นเมื่อ เพื่อนสนิทที่เป็นผู้ชายทั้งสี่คนนึง ซัดหน้า เพื่อนของเค้า ทำให้ผู้ที่ถูกชกหน้าล้มลง และเพื่อนอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆก็ถีบ คนที่ชกจนล้มลงไป แต่ผู้ที่ถูกชกหน้า กลับใช้พลังไฟ เผาคนที่ชกทั้งเป็น ผู้ที่ถูกเผาได้กลิ้งกับพื้นด้วยความทุลนทุลาย นักเรียนคนอื่นที่ไม่รู้เรื่องนี้ กลับโดนลูกหลงจากไฟไปด้วย เมื่อเพื่อนห้องเดียวกัน เห็นเหตุการแบบนี้ จึงมีบางคนใช้พลังของตน เพื่อฆ่าผู้ที่ตนเองเหม็นขี้หน้ามานาน ตามทางเดินเต็มไปด้วยเลือด นักเรียน ทุกคนต่างวิ่งหนีออกจากโรงเรียน อาจารย์ที่เข้ามาเห็น ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เหตุการณ์ ชุลมุนไปหมดใครเป็นใครก็ไม่รู้ อาจารย์คนนึงที่เห็นเหตุการณ์ ได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ถ่ายเหตุการณ์นั้นไว้ นักเรียนที่ใชัไฟเผานักเรียนคนอื่นๆอยู่นั้น จู่ๆก็ล้มลง ตำรวจที่มาถึงที่เกิดเหตุได้ยิง เด็กหนุ่มคนนั้นไป ระหว่างที่ตำรวจ จะไปตรวจสอบร่างของเด็กคนนั้น เมื่อตำรวจเดินเข้าไปไกล้ พื้นปูนที่ตำรวจสองนายยืนอยู่ ก็ยุบลงไป ผู้ที่ตายเพราะถูกตำรวจยิงคือ รามิส พลังของเค้าคือไฟ ส่วนผู้ที่ถูกไฟเผาทั้งเป็นไปนั้น คือ ไอซ์ กรีท เดอะฟราคิด เป็นผู้ใช้น้ำแข็ง และเป็นผู้ที่พยายามฆ่า อายูมิด้วย ส่วนผู้ที่ทำให้ตำรวจสองนาย ตกลงไปในหลุมนั้น คือ คริส โครส  เพื่อนสนิท รามิส ระหว่างที่อาจารย์ยืนถ่ายคลิปอยู่นั้น ฮิโรชิ ผู้ที่ทุกคนในห้องไม่รู้ว่าคือใครในห้อง ก็เดินมาพร้อม ปืนของตำรวจที่ทำหล่นไว้  ฮิโรชิ ผู้ที่เก็บกดกับพวกนักเลงห้องอื่น พลังที่ฮิโรชิ ได้นั้นคือพลังที่ ทำให้สายตาและหูที่ดีขึ้น มองไกลและมองกลางคืนได้ ได้ยินเสียงไกล เมื่อประกอบกับที่เคยได้รับการฝึกในหน่วยรบพิเศษของผู้เป็นพ่อ ฮิโรชิ ค่อยๆยกปืน และเล็งไปที่เด็กหนุ่มคนนึง หน้าตากับรูปร่างค่อนค้างอ้วน เด็กหนุ่มคนนี้ คือผู้ที่ทุกคนในโรงเรียนต่างหวาดกลัว เค้าทั้งรีดไถ ทำร้ายร่างกาย  เสพสิ่งเสพติด ฮิโรชิ ที่มองเห็นโอกาส ตอนที่เด็กหนุ่มคนนั้นวิ่งและสะดุดศพล้มลง ฮิโรชิจึงกระหน่ำยิงเข้าไปที่ลำตัว และหัวของเด็กหนุ่มคนนั้น จนหมดแม็กของกระสุน เมื่อเสียงของเด็กนักเรียนเงียบลง ทุกคนออกจากโรงเรียนไปหมด สิ่งที่เหลืออยู่คือศพและคราบเลือดกับซากปรักหักพัง ผู้ก่อเหตุ นร.ปวช 1/1 การโรงแรม.....

วันศุกร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2557

บทที่ 1 พลัง- พระเจ้า -หลั่งเลือด

 
  


    พลัง-  
เสียงการทดลอง หยด สารเคมีบางอย่างลงใน หลอดทดลอง
 " อ้า~เสร็จสมบูรณ์แล้วสิน้ะ ดีล่ะทีนี้ความหวังของผมก็จะมาเยือนอีกครั้ง ". 
 ชายคนนึงรูปร่างสูงผอมผมยุ่งๆ ใส่แว่นเลแบน ปากคาบปรอทวัดไข้ สวมเสื้อคล้ายนักวิทยาศาสตร์
 " แต่ผมจะไปทดลองกับใครได้ล่ะ แย่จริงๆ" เค้าบ่นกับตัวเอง ซักพัก มีเด็กสาว ผมทวิลเทล สีทองในตาสีแดง ราวกับดอกกุหลาบ เดินเข้ามาแล้วบอกกับเค้าพร้อมกับรอยยิ้มแห่งความเจ้าเล่ว่า
 "ทดลองกับพวกเค้าสิค้ะ อาจารย์" 
 "อ้อ จริงด้วยสิน้ะ แต่พวกเค้าเป็นเพื่อนของเธอน้ะ " 
 "ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันพร้อมที่จะเข้าร่วมสงครามครั้งนี้ พร้อมกับเพื่อนพ้องของฉันค่ะ อาจารย์โน้ต"
 "นี่สิน้ะ ฮิคานะ เรน ของผม"  
 อาจารย์พูดด้วยน้ำเสียงดีใจ

                   ยามเช้าของวันศุกร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ 2545 เวลา 8:00 เหตุการ เป็นวันไปทัศนศึกษา ของนักเรียน ปวช. 2/1 การโรงแรม
     ความรู้สึกตอนเช้าของการไปทัศนศึกษานั้น บางคน อาจเบื่อหน่ายที่ต้องไปทัศนศึกษากับเพื่อนๆ แต่เพราะเป็นหน้าที่และถูกบังคับให้ไป โดย อาจารย์มักพูดว่าหากไม่ไปก็จะตกกิจกรรมซึ่งนักเรียนก็ไม่ค่อยชอบคำพูด ที่เต็มไปด้วยการบังคับ มันไม่ใช่การเชิญชวน ให้นักเรียนอยากไปทัศนศึกษานั่นเอง และคิดว่าอยู่บ้านเล่นเกมส์ยังดีเสียอีก แต่นักเรียนบางคนกลับเบื่อหน่ายที่จะต้องอยู่บ้านฟังพ่อแม่บ่น และใช้งาน ทำให้อยากจะอยู่นอกบ้านมากกว่ากลับบ้านเสียอีก
      เสียงฝีเท้าเดิน นักเรียนกลุ่มแรกที่มาถึงโรงเรียน 
  "น่าเบื่อจังเลย ทำไมอาจารย์ต้องบังคับให้มาด้วยล่ะ แถมยังให้เราไปห้องเดียว อย่างงี้ก็น่าเบื่อแย่สิ "
  นักเรียน ชาย คนนึงพูดขึ้นในกลุ่มของเค้า ที่มีมากัน สาม คน
  " จะ บ่นอะไรนักหนา ถ้าไม่ไปทัศนศึกษาครั้งนี้ นายก็ตกกิจกรรมน้ะครับ " นักเรียนอีกคนนึงพูดขึ้นมา เมื่อพูดจบนักเรียนคนที่บ่น ก็เงียบๆไป และพอช่วงเวลา 8:50 นักเรียนของห้อง 2/1 ก็มากันครบทุกคน รวมทั้งห้อง 40 คน แบ่งออกเป็น หญิง 20 ชาย 20 เมื่อขึ้นรถทัวกันครบ อาจารย์ที่ปรึกษาก็ขึ้นมาบนรถ อาจารย์คนนี้ไม่มีใครรู้ชื่อจริงแต่นักเรียนส่วนใหญ่เรียกว่า อาจารย์โน้ต นิสัยของอาจารย์ที่ทำให้เป็นจุดเด่นนั่นคือการชอบพูดแบบจับใจความไม่ได้ พูดวกไปวนมา แต่นักเรียนบางคนก็พูดเอาฮา ว่า อาจารย์อย่างงี้คงเคยเป็นนักฆ่ามาก่อน เพราะอะไรที่อาจารย์พูดมาก็ตาม มักไม่ตรงกับคำถามที่นักเรียนถามไป บางคนยังบอกเลยว่า มาเป็นอาจารย์ได้ยังเนี่ย
    เมื่ออาจารย์ขึ้นรถมาบนรถบัสก็เริ่มเช็คชื่อนักเรียน เรียงตามเลขที่ไปจนครบคนสุดท้าย เมื่อครบตามจำนวน รถบัส ที่จะไปทัศนศึกษานี้ก็ออกตัวและมุ่งออกสู่ถนนเลี่ยงเมือง เมื่อรถแล่นมาได้ซักพักนึงนักเรียน ที่คุยกันเสียงดัง ก็เริ่มเงียบและเริ่มมองพฤติกรรมแปลกๆของอาจารย์โน้ตนั่นคือ อาจารย์เค้าก้มลงไป และหยิบหน้ากากกันแก็สขึ้นมาสวม นักเรียนทุกคนต่างมองด้วยความงง ว่าอาจารย์จะหยิบขึ้นมาสวมทำไม เมื่ออาจารย์สวมหน้ากากกันแก็สเสร็จ ก็ลุกขึ้นและหยิบกระเป๋าที่อยู่บนชั้น เก็บของด้านบนที่นั่งลงมา และวางลงตรงหน้าของเค้า 
  " เอาล่ะ! นักเรียนที่รักของอาจารย์ ในที่สุดวันที่พวกเธอ จะเป็นประโยชน์ต่ออาจารย์ก็มาถึง ในกระเป๋าใบนี้มีพลังที่พระเจ้าจัดสรรไว้ให้ตามความสามารถ ของแต่ละคน พลังนี้จะดึงความสามารถที่เหนือกว่าคนทั่วไปของพวกเธอออกมา จงสูดดมพลังแห่งพระ.."
  "จะบ้ารึไง !! จู่ๆก็พูดถึงเรื่องพระเจ้าบ้างล่ะ พลังบ้างล่ะ นี่อาจารย์บ้าไปแล้วรึไงครับ!!"
นักเรียนคนนี้พูด้วยน้ำเสียงที่แข็งกล้าปนด้วยความหวาดกลัว
 " ยังไม่รู้อะไรซะแล้ว คุณรามิส แม็คไซปรัส พลังนี้น่ะถูกรังสรรโดยความสามารถของพระผู้เป็น ถึงพูดไปพวกแกคงไม่เข้าใจ งั้นจงรับพลังนี้ไปซะ!!!"
 อาจารย์ที่ยืนอยู่ในท่ากอดอกอยู่นั้น ในมือขวามีสวิตซ์เปิดช่องระบายแก็สภายในกระป๋าอยู่ซึ่งอาจารย์กดมันหลังจากพูดจบแล้ว เมื่อช่องแก็สในกระเป๋าเปิดออก แก็สก็ได้ฟุ้งไปทั่วรถ ทำให้นักเรียนที่สูดดมแก็สสลบลงไปชั่วพริบตา ในรถบัสนั้นเงียบเหมือนไม่มีใครอยู่ ถ้าฟังดีๆก็ได้ยินแต่เสียงเครื่องยนของรถบัสเพียงแค่นั้น
  
    
       พระเจ้า-
       เย็นวันศุกร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2545 เวลา 5:45 เหตุการ:  -ไม่มี-
     ยามเย็นของวันศุกร์นักเรียนทุกคนต่างลืมเหตุการบนรถบัสไปกันหมดและตื่นขึ้นบนเตียง ที่บ้านของตนเอง และใช้ชีวิตในวันนั้นกันอย่างปกติต่อไป โดยที่พ่อแม่ก็ไม่รู้เช่นเดียวกัน ไม่มีการตั้งคำถามใดๆจาก พ่อหรือแม่ หรือตัวเอง และใช้ชีวิตกับวันศุกร์ตามปกติโดย สิ่งที่จำได้มีก็แค่ วันนี้ไม่มีเรียนที่โรงเรียน 
      เช้าวันจันทร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2545 เวลา 7:20 เหตุการ :   นักเรียนมาโรงเรียน,วันที่ 4 หลังจากสูดดมแก็ส
   วันนี้อากาศค่อนข้างมัวหมอง ท้องฟ้ามีเมฆบดบัง ราวกับว่าฝนจะตก นักเรียนที่มาโรงเรียนวันนี้ ต่างมีอาการหลบสายตาเพื่อนของตน และพยายามเรี่ยง การเจอเพื่อนห้องเดียวกัน เมื่อมาถึงห้องเรียน ที่วันนี้นักเรียน มากันไม่ครบ ขาดหายไป 9 คน โดยไม่มีใครรู้เลยว่า 9 คนนี้คือใคร 
   เวลา 8:20 คาบโฮมรูม นักเรียนทุกคนต่างพากันนั่งที่ เพื่อเตรียมพบปะ กับอาจารย์ที่ปรึกษาเมื่ออาจารย์เดินเข้ามา ไม่มีใครจำได้เลยว่าอาจารย์ผู้นี้ คือผู้ที่กำลังจะทำให้เด็กนักเรียนห้อง 2/1 เกิดเรื่องราวอันแสนโหดร้ายขึ้น 
  "นักเรียนทุกคนทำความเคารพ"
  เสียงหัวหน้าห้องสั่งทำความเคารพ โดยสายตาของ ฮิคานะ เรน จ้องมองในตาของอาจารย์ และยิ้มแบบเจ้าเล่ โดยที่ทั้งสองต่างรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น โดยที่เก็บเงียบเอาไว้
  เมื่อนักเรียนทำความเคารพอาจารย์เรียบร้อย อ.โน้ต ก็พูดขึ้น
 "เอาล่ะ เมื่อเช้าได้ยินมา ว่าพวกเธอ มีพลังวิเศษอะไรกันรึ?"
 " อาจารย์ครับ จู่ๆมันก็เกิดขึ้นกับพวกเรา แค่เฉพาะหัองเราเท่านั้นน่ะครับ อาจารย์พอรู้สาเหตุมั้ยครับ"
  รามิส เริ่มเปิดคำถามกับอาจารย์ ในคนะนั้นทุกคน ที่มีพลังวิเศษ ที่อาจจะรู้แล้ว หรือยังไม่รู้ว่าตนมีพลังอะไรเกิดขึ้นมา ก็ตั้งหน้าตั้งตาฟังกันอย่างใจจดใจจ่อ ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร โดยที่ไม่รู้ว่ามันเป็นฝีมือของอาจารย์นั่นเอง ที่ทำให้เกิดเหตุการดังกล่าวขึ้น
  ตอนนั้นเอง อ. ก็หัวเราะขึ้นมาและพูดปนขำ
  " มันคือฝีมือของ อาจารย์เอง   ในที่สุดพลังของพวกแก ก็ปรากฎแล้วสิน้ะเอาล่ะ ผมจะอธิบายกฎของ สงครามแห่งบาปให้ฟังกันน้ะ สงครามแห่งบาปครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 เราจะจัดทำขึ้นเพื่อที่จะให้เราได้ตามหาพลังที่แปลกใหม่ พลังที่ ผลสุดท้ายแล้วมัน จะถูกตัดสินให้พลังนั้นกลายเป็นพลังของพระเจ้า กฎมีอยู่ว่า 1.มีเวลา 3 เดือนในการตัดสิน โดยผู้ที่รอดคนสุดท้าย จะได้ยาแก้พิษ เพราะเยาวชนอย่างพวกแกน่ะ ไม่มีภูมิต้านทานพลังของพระเจ้า เพราะฉะนั้น วันสุดท้ายของเดือนที่สาม เมื่อเวลาเที่ยงคืนมาถึงผู้ที่ยังคงมีชีวิตอยู่ ก็จะตายลง แต่ถ้า เหลือรอดคนสุดท้าย ผมจะไปตามหาและพาตัวคนสุดท้ายมาฉีดยาแก้พิษเอง
                        2.ห้ามบอก คนอื่นนอกจากคนในห้องนี้ ไม่งั้น แก กับคนที่แกไปเล่าให้ฟัง จะถูกสังหารตาย กันหมดทั้งตระกูลแน่ๆ   ตำรวจก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก เพราะตำรวจนี่แหละคือคนที่จะไปฆ่าพวกแก"
  "เอาล่ะ สองข้อง่ายๆ มีคำถามมั้ยครับ"
  นักเรียนทุกคนต่างนั่งเงียบ
 " ปึ้ง!! " เสียงทุบโต๊ะ เวอจิว แพนนิค นักเรียนชายคนนี้ลุกขึ้นแล้ว ขู่ อ.โน้ต ว่าจะไปแจ้งตำรวจ และอาจารย์คนอื่น เวอจิวรีบเดินออกไปทางประตูหลังห้องเรียนแต่ พอเวอจิว ก้าวเท้าขวาออกนอกห้องไป มีดที่ขว้างมาจาก อาจารย์ ก็ปักเข้ากลางหลังเวอจิว 
 "อั่ก" เสียงสุดท้ายที่ เวอจิวร้องออกมา พร้องกับเลือดที่สาดกระเส็น ออกมาจากอก ก่อนที่จะล้มทั้งยืนลงไปตอนนั้นเองที่ทุกคนในห้องต่างสติแตก บ้างก็จะวิ่งออกไปจากห้องแต่อาจารย์ก็ ดักไว้ก่อน บ้างก็นั่งเอามือกุมหัว บ้างก็ร้องไห้ 
 " เห็นมั้ยล่ะ นี่แหละคือ คนทรยศต่อ การสรรสร้างของพระผู้เป็นเจ้า ของให้โชคดีกับการต่ิสู่ล่ะ"
 อาจารย์เดินไปทางหลังห้องและลากศพเวอจิวออกไปตามทางเดิน
    หลั่งเลือด-
  เวลา 9:20 นักเรียนทุกคนนั่งเรียนด้วยความเครียด ไม่มีอาจารย์คนใดถามถึงคราบเลือดหลังห้องเลยแม้แต่คนเดียว เมื่อถึงช่วงพักกลางวัน ฮิคานะ เรน หรือ เรน ที่เป็นหัวหน้าห้องซึ่งเธอเองก็อยากรู้พลังของแต่ละคน จึงใช้กลอุบายของเธอให้ทุกคนพูดพลังของตนออกมา ตามเลขที่
 " ทุกคนฟังทางนี้ ฉันอยากรู้ว่า ทุกคนมีพลังอะไรกันบ้าง ให้เริ่มตามรายชื่อเลขที่ของทุกคนน้ะ"
เมื่อพูดจบ ผู้ที่มีเลขที่ 1 นาย ชาโน่ สตาเรอ นักเรียนคนนี้ค่อนข้างชอบอยู่คนเดียว ค่อนข้างเงียบเพื่อนบางคนยังลืมไปเลยว่ามีคนๆนี้อยู่ในห้องด้วย
 " พลังของผม....…ขอไม่บอกล้ะกัน เรื่องอะไรจะบอกกับเธอล่ะ ยังไงซะทุกคนก็ต้องฆ่ากันตายอยู่แล้วนี่" 
  ชาโน่พูดมาอย่างงั้น มันอาจจะเป็นเรื่องที่ทุคนรับไม่ได้ก็จริง แต่สุดท้ายของท้ายสุดแล้วทุกคนก็ต้องฆ่าเพื่อนของตนเพื่อให้รอดไปได้จากการตาย ภายใน สามเดือน 
 " แต่เราควรจะรู้ถึงพลังของแต่ละคนก่อนน้ะ จะได้แฟร์ๆกันไงล่ะ"
 คำพูดนี้ไม่น่าออกมาจากปากของ นักเรียนที่เรียนที่เรียนเก่งที่สุดในห้องยังไง ความคิดที่ออกไปทางความเห็นแก่ตัวโดยพูดให้เหมือนจะดูดี แต่แฝงไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม ของ เนโร่ มานาลิก
เมื่อ พูดจบลง ชาโน่ จึงยอมบอกพลังของตน 
 " พลังของฉัน คือ มองทะลุกำแพง "
 ซึ่งมันเป็นพลังที่แท้จริงรึปล่าวก็ไม่มีใครรู้ได้ การที่จะยอมพลังของตน กับ ผู้ที่ผลสุดท้ายเราก็ต้องฆ่า ทุกคนอยู่ดี  คนต่อไปคือ เลข ที่ 2 รามิส แม็กไซปรัส นักเรียนชายคนนี้คือคนที่พูดมาก ปากเสียเป็นที่สุด และไม่ค่อยรู้จักสัมมาคารวะ เพื่อนๆต่างไม่ค่อยชอบเท่าไหร่
 " พลังของฉัน คือ ใช้ไฟได้ "
 เลขที่ 3 โทซากะ อายูมิ เด็สาวที่หน้าตาดี ผมแตะบ่า นิสัยดี เป็นที่รักของเพื่อนๆ
 "พลัง...เหรอค้ะ…ขอไม่บอกค่ะ!!"
 " งั้นใครไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอกล้ะกันนัะ"
เรน ที่คิดว่า บางคนอาจรู้แผนการของตน และเห็นว่า หากยังบังคับต่อไป ทุกคนคงจะไม่ยอมบอกแน่. ต่อไป เลข ที่ 4 ฟินิก้า โฟเรีย เพื่อนสนิท ของ อายูมิ เป็นเด็กสาวที่ค่อนข้างขี้อาย ไม่ค่อยพูดเสียเท่าไหร่  เมื่อตรวจดู เรน ที่ได้จดความสามารถของแต่ล้ะคนไว้ ก็เดิน เข้าไปหา คุโระ ฮาโตะ เด็กผู้ชายที่หน้า คล้ายเด็กผู้หญิง เรน ได้แตะไหล่ของ คุโระ โดยที่ คุโระ ได้หันมามอง โดยนึกว่า ใครกัน? แต่การแตะไหล่ครั้งนั้น จะทำให้ คุโระ กลายเป็น หุ่นเชิดของ เรน
 " งั้นฉันกลับบ้านก่อนล้ะกัน " ชาโน่ลุกขึ้นหยิบกระเป๋า และเดินออกจากห้องไป โดยไม่แคร์ เพื่อนๆ หรือ อาจารย์ และเดินออกไปนอก โรงเรียน   ทุกคนที่เริ่มใจไม่ดีแล้ว จึงคิดจะเกาะกลุ่มกัน และเตรียมที่จะ ต่อสู้ 
 " นายจะทำยังไงต่อไป เชสเซอร์ ความคิดที่เลวร้าย เริ่มขึ้นแล้วน้ะ "
 มาณี มอสคอส เพื่อนสมัยเด็ก ของ เชสเซอร์ สปีด ผู้ที่เป็นนักเรียนที่ลึกลับในห้องนี้ 
 " ตอนนี้เราต้องดูเหตุการไปก่อนล่ะมั้ง "
 ถึง สปีด ไม่พูด มาณี ก็รู้ เพราะ พลังของเธอ คือ การอ่านใจคน และ พลังของ สปีด คือ การย้ายที่อย่างรวดเร็ว ( วาป ) สองพลังนี้ คือพลังที่แท้จริง และ มาณีก็รู้แผนการ ของ เรน ทำให้ทั้งสองต้องโกหก เรื่องพลังของตน หากทั้งสอง ยอมบอกพลังที่แท้จริงไป ก็จะทำให้ เรน วางแผน หักล้าง พลังของ สปีด และ มาณีได้
 " อะไรว่ะ !!"
เสียงตะโกนออกมา ทางหลังห้องเรียน โดยที่ ตอนนั้น ทุกคนเริ่มโต้เถียงกัน และ มีแนวโน้มที่จะเกิดการปะทะกัน ทำให้ บางคนเดินออกจากห้องไป และมุ่งหน้า กลับ บ้านโดยทันที 
  วันจันทร์ ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2545 เวลา 16:43 
นักเรียน ส่วนใหญ่ ได้เดินทางกลับบ้าน ไปเกือบหมดแล้ว เหลือแต่เพียง สมาชิกชมรม บางกลุ่มที่ ยังคงเหลืออยู่ และ ผู้ที่ทำเวร ประจำวัน อายูมิ ที่กำลังจะเอาขยะไปทิ้ง หลัง โรงเรียน เมื่อเดินมาถึง อายูมิ ก็เห็นก็อก น้ำที่อยู่ถัดจาก ถังขยะ ถูกเปิดทิ้งไว้ อายูมิ ที่กำลังจะเดินเข้าไปปิด เมื่อเธอ เอื้อม มือไปไกล้ถึงก็อกน้ำ น้ำที่ไหลอยู่ กลับหยุดนิ่ง อายูมิ รู้สึกถึง ความเย็นของสายน้ำ และเธอสามารถ ควบคุม น้ำ ได้ อย่างที่ตนนึก ในขณะนั้น น้ำ ก็เกิดการแข็งตัว และกลายเป็นน้ำแข็ง แตกหน่อปลายแหลมพุ่งเข้าใส่ อายูมิ แต่เธอ กระโดดหลบมาด้านข้าง หลบทิศทางของน้ำแข็ง อายูมิ พยายามยืนอยู่ที่โล่ง ที่ห่างก็อกน้ำ
 เธอ พยายาม มองหาผู้ที่ควบคุมน้ำแข็งนั้น หลังต้นไม้ มีเงาคล้าย คนอยู่
 " ใครน่ะ !! ต้องการอะไรกัน ทำไมล่ะ เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ "
 ทันใดนั้น น้ำแข็ง ก็พุ่ง เข้ามา หา อายูมิ ปลายที่แหลม ราวกับ หอก แต่ อายูมิ กระโดดหลบ ไปด้านข้าง น้าแข็งที่ พุ่งใส่ มันแตกหน่อ ยอดปลายแหลม พุ่งเข้าใส่ อายูมิ ในชั่วพริบตา อายูมิ ที่หลับตา และเตรียมใจรับความตาย เธอ ไม่สามารถ หลบ ไปด้านไหนได้อีกแล้ว หลังเธอชนกับกำแพงอาคารเรียน ไม่มีทางใหเหนี อีกต่อไป
  เมื่อ อายูมิ ลืมตาขึ้นมา เธอ ก็ถูกพามาที่หน้าโรงเรียน เมื่อเธอหันไป ก็เจอกับ สปีด กับ มาณี ทั้งสอง คน ช่วยเธอหนีมาได้ และเดินจากไป อายูมิ ที่กำลัง รู้สึก ช็อก ก็เดินอย่างเหม่อลอย กลับบ้าน ของเธอไป
      

วันเสาร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2557

นิยามแห่งสงคราม แห่งบาป

หากคุณมีเวลาเหลือสามเดือน แล้วคุณต้องตาย เพราะโรคไข้หวัด ผู้ที่คุณอยากจะไปบอกลาก่อนคุณตาย คือใคร พ่อ แม่ ญาติ พี่น้อง ภารยา แฟน คนรู้จัก หรือ เพื่อน หากคุณเริ่มคิดที่จะไปบอกลาใคร คุณกำลังคิดผิด คุณควรที่จะสู้กับโรคนั้น พยายามยื้อมัน ด้วยกำลังใจอันแรงกล้า แม้จะไม่มีใครเหลียวแลคุณก็ตาม   สิ่งที่ทำให้คุณมีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป นั่นคือ ความหวังที่คุณสร้างขึ้น ความหวังที่จะมีชีวิตต่อ แม้ไม่รู้ว่า โลกหลังความตายนั้นมีอะไรบ้าง หากมีแต่ความว่างเปล่า คุณก็คงไม่อยากที่จะจากไปตัวคนเดียวแน่ 
          ด้วยความกลัว ความตาย ทำให้คุณยังสู้ต่อไป ความกลัว ทำให้ทุกคน กล้าหาญที่จะสู้ กับสิ่งที่เรากลัว เมื่อการต่อสู้สิ้นสุดลง คุณก็จักได้รู้ว่า สิ่งที่คุณสู้มานั้น มันทำให้ตัวคุณรอดพ้นจาก ความกลัว ความตายและ ความสิ้นหวัง แต่หากคุณกลับมามองตัวเองใหม่ก็ จะได้พบกับตัวคุณคนเดียว บนกองศพของเหล่า ญาติมิตร และ สหาย กลับกลายเป็นว่า ที่คุณต่อสู้มาทั้งหมดนั้น ทำให้คุณอยู่ตัวคนเดียว บนเส้นทาง ที่ตัวคุณ เลือกที่จะสู้ การต่อสู้ของคุณจะทำให้คุณลืมเลือนคุณค่าของเหล่า ญาติพี่น้อง มิตรสหายที่เรารู้จักไปจน หมดสิ้น นี่แหละคือ สงครามแห่งบาป บาปที่เกิดจากการต่อสู้เพราะการที่กลัวความตายนั่นเอง
                   
                                       อาจารย์ผู้หนึ่งท่านได้กล่าวไวั